วันที่ 17 ม.ค. รายการเรื่องเล่าเช้านี้ รายงานความคืบหน้ากรณีอุบัติเหตุรถเก๋งชนรถจักรยานยนต์ มีผู้เสียชีวิต 2 คน บริเวณหน้าโรงพยาบาลภูมิพล ถนนพหลโยธิน ทำให้ นายศิวะ สิงหะภูกาม และนายชัยวัฒน์ สังข์เผือก เสียชีวิต โดยมีพยานเห็นว่าหลังจากเกิดอุบัติเหตุชายฉกรรจ์สองคนที่อยู่ในรถลงมาเตะที่ร่างผู้เสียชีวิต 2-3 ครั้ง ทั้ง ๆ ที่ของร่างผู้เสียชีวิตนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นถนน
เวลาต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุม นายชนินทร์ สุดนิมิตร
คนขับรถเก๋งมาสด้า สีดำ ทะเบียน 7 กฌ4457 กรุงเทพฯ คันก่อเหตุ โดยนายชนินทร์ ให้การอ้างว่า ผู้ที่ลงไปทำร้ายผู้เสียชีวิตไม่ใช่ตน แต่เป็นนายนันวัฒน์ บุญทันกิจ อายุ 22 ปี ที่โดยสารมาด้วย ตนเองเป็นเพียงคนขับเท่านั้น ไม่รู้เรื่องด้วย
ด้าน นายนันทวัฒน์ เข้ามอบตัวกับ ตำรวจ สน.สายไหม ให้การยืนยันว่า คนที่ลงไปกระทืบศพ คือนายชนินทร์ ตนเพียงอาสาขับรถไปส่ง พอมาถึงที่เกิดเหตุ นายชนินทร์สั่งให้ตนขับรถชนรถจักรยานยนต์คนตาย เพราะขับรถปาดหน้ารถของตนก่อน จากนั้นก็ขับไล่บี้รถของคนตาย เพื่อให้รถล้ม และแม้ว่าผู้ตายนอนสลบไปแล้ว แต่ก็ลากร่างที่สลบออกมาเตะ
เบื้องต้น ตำรวจแจ้งข้อหา ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และเช้าวันนี้ (17 มกราคม) จะควบคุมตัวนายนันทวัฒน์ ส่งศาลฝากขังต่อไป
วันที่ 17 ม.ค. เวลา 00.20 น. ตำรวจสืบสวน สภ.หนองใหญ่ จ.ชลบุรี ติตามจับกุมคนร้ายก่อเหตุฆ่าเด็กหญิงวัย 2 ขวบ นำศพโยนทิ้งสระน้ำ บริเวณที่ดินส่วนบุคคล ข้างบานออกกำลังกายชุมชน ต.ท่าช้าง อ.เมือง จ.จันทบุรี ผู้ต้องหาลงมือก่อเหตุแท้จริงแล้วคือแม่บังเกิดเกล้าของหนูน้อยที่เสียชีวิต ทราบชื่อคือ น.ส. กนกวรรณ ขาวแพร อายุ 22 ปี
น.ส.กนกวรรณ อ้างว่า สาเหตุมาจากลูกสาวดื้อ ร้องไห้ ไม่หยุด ทำให้เกิดความรำคาญ โมโหหน้ามืด พลั้งมือทุบตีลูกสาวจนเสียชีวิต หลังก่อเหตุเกิดกลัวความผิด จึงตัดสินใจนำศพมาโยนทิ้งสระน้ำที่เกิดเหตุเพื่ออำพรางคดี
ผลการชันสูตรเบื้องต้น พบว่าไม่มีน้ำในปอดของเด็กที่เสียชีวิต และพบร่องรอยฟกช้ำตามลำตัว คาดว่าเด็กน่าจะถูกทำร้ายจนเสียชีวิต ก่อนนำศพมาโยนทิ้งสระน้ำเพื่ออำพราง
จากคดีสะเทือนขวัญ นายธีรพล ปิ่นอมร หรือ ปุ๊ อายุ 38 ปี ใช้อาวุธปืนยิงภรรยาและครอบครัวภรรยา เสียชีวิต 5 ศพ ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่าทรัพย์สินของผู้ต้องหาส่วนใหญ่มาจากการฉ้อโกงนั้น ล่าสุด รายการเที่ยงวันทันเหตุการณ์ เปิดเผยว่า บาทหลวงไชโย กิจสกุล อายุ 66 ปี อธิการสามเณราลัยนักบุญยอแซฟ โรงเรียนยอแซฟอุปถัมภ์ อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ได้มาร้องทุกข์คดีฉ้อโกงว่า ตั้งแต่ปี 2557 นายปุ๊ เคยเข้ามาขอความช่วยเหลือด้านการเงิน โดยอ้างเป็นเจ้าของที่ดินแปลงหนึ่งเนื้อที่ 10 ไร่ ที่จังหวัดภูเก็ต และได้ขายที่ได้แล้วจำนวน 35 ล้านบาท แต่ไม่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้ บาทหลวงจึงให้ยืมเงินจำนวน 30 ล้านบาท แต่พอถึงกำหนดคืนเงิน นายปุ๊กลับติดต่อไม่ได้ พยายามหลบหน้า
โดยเมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา ทางตำรวจได้ออกหมายเรียกนายปุ๊ เข้ามาให้ปากคำแล้ว 1 ครั้ง แต่กลับมาเกิดเหตุการณ์ฆ่า 5 ศพขึ้นเสียก่อน ขณะเดียวกันตำรวจ ได้สั่งการให้ชุดสืบสวนไปแกะรอยดูความสัมพันธ์ของนายปุ๊และบาทหลวง ว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างไร จึงให้ยืมเงินจำนวนมากขนาดนี้ โดยเจ้าหน้าที่เชื่อว่าอาจจะต้องมีอะไรอย่างแน่นอน รวมทั้งเชื่อมโยงเบื้องหลังว่าทั้งสองคนเกี่ยวข้องกลุ่มธุรกิจสีเทาหรือไม่ จากการสอบถามครูในโรงเรียน เรื่องเงิน 30 ล้านบาท ที่บาทหลวงให้นายปุ๊ยืมนั้น ไม่ทราบว่าเอามาจากไหน ซึ่งก่อนหน้านี้บาทหลวงก็เคยมีปัญหาเกี่ยวกับคดีฉ้อโกงการจัดซื้ออาหารกลางวันของโรงเรียน ซึ่งคดีนี้ยังอยู่ในชั้นศาล ไม่ยืนยันว่าเกี่ยวข้องกับเงิน 30 ล้านบาทหรือไม่
ไม่กลัวกฎหมาย! แก๊งมาเฟียจีนยกพวกตีกันกลางเมืองพัทยา ตำรวจสกัดจับวุ่น
เมื่อเวลา 01.30 น. ของวันที่ 17 ม.ค. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ. เมืองพัทยา รับแจ้งเหตุกลุ่มคนจีนยกพวกตีกัน จนมีผู้ได้รับบาดเจ็บ บริเวณถนนหลังโลตัสพัทยาเหนือ หน้า 69 โชว์ โดยชายจีนกลุ่มหนึ่งได้ซิ่งรถหลบหนีไป
ต่อมาเจ้าที่ตำรวจสามารถสกัดจับรถหรูได้ 2 คัน เป็นรถยนต์เก๋งเบ็นซ์ SLK200 สีขาว . และรถยนต์ตู้ VIP. โตโยต้า อัลพาร์ด สีดำ ซึ่งพบ MR.ZHANG HONGXING อายุ 28 ปี สัญชาติจีน เป็นคนขับรถยนต์ตู้ VIP สภาพมีแผลถลอกตามแขนเสื้อผ้าเปรอะเปรื้อนไปด้วยฝุ่นทราย และ MR.CAO LEI อายุ 33 ปี สัญชาติจีน เป็นคนขับ รถยนต์เก๋งเบ็นซ์ เบื้อนต้นพบอาวุธมีดปลายแหลม 1 เล่ม และกระบอกยาง 1 อัน จากการสอบสวนทราบว่า กลุ่มชาวจีนได้ใช้อาวุธไล่ตีกันอยู่บนถนน โดยฝ่ายหนีใช้รถยนต์ไล่ขับชนคู่กรณี ซึ่งก่อนหน้านี้มีปากเสียงกันเหมือนเจรจากันไม่ลงตัว ทำให้เกิดเหตุวิวาทก่อนที่ซิ่งรถหลบหนีไป
เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัว MR.ZHANG HONGXING และ MR.CAO LEI ไว้ทำการสอบสวนอย่างละเอียด ว่าเกี่ยวข้องกับธุรกิจผิดกฎหมายของแก๊งใดหรือไม่ ซึ่งการก่อเหตุนั้นอุกอาจไม่เกรงกลัวกฎหมายเมืองไทย
มั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ทำให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 215 มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เมื่อพนักงานสั่งให้ผู้มั่วสุมเลิก แต่ไม่เลิก ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 216 ต้องมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
แนะนำ : เคล็ดลับต่างๆ | เว็บรวมวิธีต่างๆ How to | จัดอันดับซีรีย์ | รีวิวครีม